ช่วงนี้มีข่าวเครื่องสแกนม่านตา ‘Orb’ เพื่อพิสูจน์ความเป็นมนุษย์ . . . จึงอยากชวนมาเปรียบเทียบ Proof of Human กับ Proof of Identity เพราะสองอย่างนี้
ไม่เหมือนกัน
ทำความเข้าใจนิยามกันก่อน
– Proof of Human → พิสูจน์ว่า “คุณเป็นมนุษย์จริง” โดยไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร
– Proof of Identity → พิสูจน์ว่า “คุณคือใคร” โดยโยงคุณเข้ากับคุณบนอินเทอร์เน็ต หรือคุณในบัตรประชาชน เป้าหมายของการสแกนม่านตา
– Proof of Human → ตรวจสอบว่าเป็นม่านตามนุษย์จริง ๆ ไม่ใช่ของปลอม
– Proof of Identity → เปรียบเทียบข้อมูลลายม่านตาแบบ individual การแกะข้อมูลลายม่านตาออกมาจากภาพ
– Proof of Human → แค่เพียงวิเคราะห์ texture ของลายม่านตา แต่ไม่แกะข้อมูลออกมาสร้างเทมเพลตที่เป็น iris code
– Proof of Identity → แกะข้อมูลลายม่านตาออกมาสร้างเทมเพลตที่เป็น iris code จาก texture ของลายม่านตา เพื่อใช้เปรียบเทียบ การควบคุมตัวตนในระบบ (Deduplication)
– Proof of Human → ไม่จำเป็นต้องทำ เพราะแค่พิสูจน์ว่า “คุณเป็นมนุษย์จริง”
– Proof of Identity → จำเป็นต้องทำ เพื่อตรวจสอบว่า iris code เคยมีอยู่ในฐานข้อมูลหรือไม่ โดยการเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลก่อนลงทะเบียนใหม่ทุกครั้ง
บทสรุป : ถ้าระบบสร้างเทมเพลตที่เป็น iris code นั่นคือการทำเกินกว่า Proof of Human แบบพื้นฐาน และขยายขอบเขตไปสู่ Proof of Uniqueness หรือ Proof of Identity โดยพฤตินัย
อย่างไรก็ตาม ความยินยอมที่จะใช้งานระบบไบโอเมตริกใด ๆ เป็นสิทธิของแต่ละบุคคล
ข้อแนะนำ : การจะเปิดใช้งานระบบไบโอเมตริกใด ๆ ในวงกว้าง (>10 ล้านคน) ควรมีกระบวนการประเมินผลกระทบจากหน่วยงานรัฐก่อนอนุญาตให้ดำเนินการได้
** บทความนี้วิเคราะห์ในประเด็นเฉพาะของระบบไบโอเมตริกเท่านั้น ไม่ได้วิเคราะห์ work flow ในระดับแอพพลิเคชัน